สาระน่ารู้


การฟื้นฟูสมอง  เพิ่มความฉลาดทางปัญญา

แม้ว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้นในแต่ละปี  พลังสมองก็จะค่อยๆเสื่อมลงเป็นธรรมดา
                แต่จริงๆ  แล้วถ้าเราบริหารสมอง  มันก็เป็นการฟื้นฟูประสิทธิภาพของสมองให้คงฟิตเปรี๊ยะอยู่เสมอ
                ถ้ามีการกระตุ้นสมองเป็นประจำ  ในสมองของเรานั้นก็จะเพิ่มการเชื่อมต่อขึ้นอีกนับล้านๆ จุด  ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่าสมองจะมีศักยภาพเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
                ในส่วนของสติปัญญาของคนเรานั้น  สามารถจะพัฒนาให้เปลี่ยนแปลงได้ด้วย  เพราะความสามารถของสมองก็คือตัวบ่งชี้สติปัญญาของแต่ละบุคคลนั่นเอง
                ทักษะหลักๆ  3  ประการของสมองก็คือความสามารถในการจำ  การเรียนรู้  และการใช้ความคิดสร้างสรรค์
                ถ้าบุคคลใดสามารถมีความจำที่ดี  สามารถเรียนรู้ได้ดีและเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ด้วย  อย่างนี้ก็ถิอว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาชาญฉลาดด้วย  เพราะมันสมองของเขามี
                แต่ที่ว่า ดี”  ในทักษะหลักๆ  3 ประการนั้น  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความสามารถของสมองเรามีมากน้อยขนาดไหน  มาดูละเอียดทักษะทั้ง  สาม  ประการเถอะ
 1. ความสามารถในการจำ
สมองของเรามีวิธีจำอยู่ 2 ระดับ  คือการจำระยะสั่นและระยะยาว
ความจำระยะสั้นคือ  ความจำในเรื่องพื้นฐานประจำวัน  เช่นต้องจำได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในวันนี้  หรือหมายเลขรหัส ATM ของส่วนตัวความจำระยะยาวคือความจำที่ไม่ไช่แค่ตั้งใจจะท่องจำก็สามารถจำได้  แต่เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน  เพราะความจำระยะบาวจะเป็นเรื่องต่างๆ  ที่มีขีดจำกัด
2. ความสามารถในการเรียนรู้
ถ้าคน 2 คนได้เรียนรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกัน  แต่คนที่มีศักยภาพทางสมองดีกว่า  ก็จะสามารถนำความรู้นั้นไปวิเคราะห์หรือนำไปเป็นข้ออ้างอิงใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้  มิใช่แค่รู้ไว้อย่างเดียวแต่ไม่มีทางจัดการกับความรู้นั้นๆ  ให้เหมาะสมแต่ละโอกาสด้วย
3. ความคิดเชิงริเริ่มสร้างสรรค์
ยังมีคนอีกไม่น้อยที่คิดว่าความคิดความคิดในเชิงสร้างสรรค์    เป็นเรื่องของพรสวรรค์  แต่ความเป้นจริงแล้วสิ่งที่เราสามารถพัฒนาและสรรค์ให้เกิดขึ้นได้  เราพะว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพในความคิดอะไรแลกๆ ใหม่ๆ  อยู่แล้ว  แต่ว่าบางคนไม่ได้ดึงมาใช้จึงไม่มีความมันใจในตัวเองว่าจะมีความคิดในเชิงนี้หรือไม่

ข่าวสารเทคโนโลยี

iPad Mini มีแผนเปิดตัว เดือนตุลาคม 2012 นี้

            iPad Mini - อัพเดทข่าวล่าสุดกับ ป๋าเอก TechXcite หากจะเรียกได้ว่า Apple โดนข้าศึกมาโจมตีประชิดทุกด้านในเวลานี้ก็คงจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงมากนัก หากฝั่ง iPhone 4S (หรือ iPhone 5) จะต้องเจอคู่ปรับเจ้าเก่าหน้าใหม่ที่น่ากลัวไม่เบาอย่าง Samsung Galaxy S III ที่โกยยอดขายเป็นเทน้ำเทท่าในเวลานี้ ฝั่ง New iPad เองก็ต้องเจอคู่แข่งน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ในวงการแท็บเล็ตอย่าง Google Nexus 7 ที่มาพร้อมสเปคแรงไม่เบาแต่ราคาขายถูกเวอร์หวังกวาดตลาดล่างโดยเฉพาะ


                                                                       iPad Mini

อย่างไรก็ตามหลายๆฝ่ายยังเชื่อว่า Apple เองกำลังหาทางแก้ลำแท็บเล็ต Nexus 7 กลับในเวลาอีกไม่นานนับจากนี้ โดยล่าสุดคุณ Andy Hargreaves นักวิเคราะห์จากบริษัท Pacific Crest ออกมาแสดงทรรศนะว่าทางด้านของApple มีแผนการณ์ที่จะเปิดตัวและวางจำหน่าย iPad Miniแท็บเล็ตไซส์เล็กของพวกเขากันในเดือนตุลาคมนี้ 
โดย iPad Mini จะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7.85 นิ้ว, หน่วยความจำภายในเครื่อง 8GB และราคาขายเริ่มต้นเพียง $299 (9,000 บาท) ซึ่งเมื่อนำมาบวกกับชื่อชั้นของ iPad และความนิยมชมชอบในแบรนด์ Apple แล้วก็รับรองได้ว่า iPad Mini น่าจะกวาดยอดขายเข้ากระเป๋า Tim Cook และพลพรรคจากบริษัท Apple ไปได้ถึง 10 ล้านเครื่องภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เลยทีเดียว

งานนี้สาวกฝั่ง iPad อย่างป๋าเองก็อยากเห็นผลิตภัณฑ์ในตระกูลใหม่มาเปิดตัวให้ไม่แพ้ฝั่ง Mac ที่กำลังหลงใหลได้ปลื้มไปกับ Retina MacBook Proอยู่เหมือนกันแฮะ 

ที่มา: mashable

ข่าวสารเทคโนโลยี


การลง Windows 7 จาก USB 

สอนวิธีการลง Windows 7 จาก USB flash drive  แบบง่ายๆ

หลายคนไม่อยากพก DVD ลง Windows 7กันใช่ไหมละครับ วันนี้ผมจะมาบอกวิธีการลง Windows 7 ผ่าน usb ตัวจิ๋วของเราดีกว่าครับ ลงง่ายๆ สบายๆ ลงไปกินขนมรอไป ฮ่าๆๆ
ผมว่าการลงWindowsผ่าน USB ก็ง่ายดีนะครับ แต่การลง Windows 7 ก็เหมือนกับการลงแบบแผ่นนั้นแหละครับ แต่แตกต่างแึ่ค่ใช้ DVDกับ USB เนอะ ส่วนวิธีการลง Windows 7


def-thumb_100

สิ่งที่เราต้องเตรียมในการลง Windows 7แบบ USB
1. USB&Flash Drive
2. ISO Windows 7 หรือ แผ่น Windows 7
3. Program WinToFlash << โหลดได้จาก Google ลองหาดูครับ


ขั้นตอนการเตรียม USB ให้ Boot Windows 71. ให้ทำการโหลด WinToFlash มาไว้ในเครื่องเรา และทำการแตกไฟล์ซิปครับ
จากนั้น Double Click  File WinToFlash
USB_windows7_1



2. ขั้นตอนนี้คลิก Next อย่างเดียวครับ
USB_windows7_2




3. เลือก I cccept EULA และ Next
USB_windows7_3




4. กด Next เลยครับ แต่ถ้าใครมี License ก็กด Activate licesne ไปนะครับ
แต่ผมไม่มีเลยกด Next ไปเลย
USB_windows7_4






5. กด Next
USB_windows7_6





6. กดที่ Windows Setup transfer wizard

USB_windows7_7



7. กด Next เลย
USB_windows7_8




8.
Windows file path : ให้เลือกเรา Drive DVD ที่เราใส่แผ่น windows 7 ไว้ครับ หรือ Virtual Drive ที่เรา Mount image windows 7 ไฟล์ .ISO เอาไว้
USB Drive: ให้เราเลือก Driveของ USB เราครับ
กด Next
USB_windows7_9




9. กด I accepted > continue
USB_windows7_10


10. รอกว่าจะโอนไฟล์เสร็จครับ

      หลังจากนั้นลองเอา USB ของเราไปลง Windows 7 ดูครับ ก็จะลงได้สบายๆเลยครับ
คอมพิวเตอร์ที่ลง windows 7 จาก USB ได้ ต้องสามารถตั้ง Boot จาก USB ได้นะครับ ถ้าเราจะทำก็ให้ไปตั้งBootผ่าน USB เป็นอันดับแรก






สาระน่ารู้

         

ผู้หญิง 8 บุคลิกที่มีแนวโน้มจะขึ้นคาน




               สำหรับผู้ชายไม่มีอะไรที่จะมีความสุขเท่ากับการควงสาวอีกแล้ว  แน่ล่ะ…พอพวกเขาอยากควงใคร  สิ่งที่ควรทำลำดับต่อไปก็คือหาทางทำความรู้จักเธอให้ได้  ถ้าเธอมีเสน่ห์เย้ายวนน่าสนใจ  หรือพวกเขารู้สึกถูกคอด้วยก็คงจะหาทางพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป  แต่หากพวกเขาพอหญิงสาวประเภทนี้คำแนะนำเลยว่าอย่าเสียเวลาอีกต่อไป



         1.บงการและควบคุมทุกอย่าง
นิยามง่ายๆ  ของสาวประเภทนี้ก็คือสาวเผด็จการนั้นเอง  เธอจะชอบชี้นิ้วสั่งบงการพวกเขาอยากได้อะไร  เมื่อไหร่  พวกเขาเหล่านี้ก็สรรหามาให้เธอ  คำแนะนำสำหรับการจีบเธอสาวประเภทนี้ก็คือหัดใช้คำพูดว่า “ได้จ๊ะ” ให้ชินปาก
         2.สนใจแต่ผลประโยชน์
เข้าทำนองว่าถ้าพวกเขามีค่าฉันคบ  ถ้าเขาหมดเท่าไร้ราคาฉันเลิก  นั่นแหละหญิงสาวประเภทนี้น่ากลัวมากๆ  เธอจะให้ความสนใจเฉพาะเพียงคนที่สนองความต้องการของเธอเท่านั้น  คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภ?นี้ก็คือเขาภาวนาตัวเองถูกล๊อกเตอรี่รางวัลที่ 1  เพื่อจะตอบสนองความต้องการของเธอได้ทุกอย่าง
         3.ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ต่อให้เธอสวยงานสักปานใด  แต่ถ้าเธอไม่กล้าคิด  ไม่กล้าตัดสินใจเอง  จิตใจวอกแวก  ลังเลมันก็น่ารำคาญเสียจริง ดีไม่ขนากของกินของใช้ยังเปลี่ยนใจไปมาเลย  แล้วกันพวกเขาเธอจะไม่ลังเลหรือ? คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือ  ให้พวกเขาเริ่มไม่เป็นของตัวเองก่อนด้วยจากเธอมาซะ
         4. ขี้เหนียว
สาวประเภทนี้ไม่รู้ว่าจะเคยพกกระเป๋าสตางค์ออกจากบ้านหรือเปล่า ? คติพจน์ประจำของเธอก็คือ  “กินได้  จ่ายไม่เป็น”  แน่ล่ะ  ถ้าพวกเขาจีบเธอก็ต้องเป็นพวกเขาน่ะสิที่ต้องเป็นฝ่านควักกระเป๋าจ่าย  คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือ  สังเกตว่าคนอื่นเรียกพวกเขาว่าอะไร  ถ้าไม่มีคำว่า “เสี่ย  หรือ เฮีย” นำหน้าก็ถอยดีกว่า
         5. เรื่องมากเอาใจยาก
สาวประเภทนี้ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามทำอะไรให้เธอสิ่งที่ตอบแทนกลับมามีเพียงความไม่พอใจนั้น ก็เหมือนกับการตักน้ำเทใส่ตุ่มที่รั่ว  ย่อมไม่มีวันที่จะเต็มขึ้นมาได้อย่าแน่นอน  คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือ  หันมาเอาใจใส่ตัวเองให้มากขึ้นดีกว่าไม่ซ้ำใจด้วย
          6. เห็นแก่ตัว
ถ้ารักผู้ชายยึดมั่นคติพจน์ที่ว่า “ความรักคือการเสียสละ” ล่ะก็พวกเขาจะพบว่าบางครั้งมันก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน  ก็เธอออกจะคิดว่าตังเองเป็นศูนย์กลางจักวาลขนากนั้นเลย  เธอจะไปคิดถึงหัวใจใครล่ะ  คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือ  ลบคติพจน์แห่งความรักประจำใจขางต้นไปเสียเลย
          7. ไม่มีเหตุผล
สาวประเภทนี้อายุมากขึ้นแต่จิตใจกลับไม่ยอมโตตามแฮะ  ถ้าพวกเขาลองคบเป็นแฟนล่ะก็สัมพันธภาพของเขากับเธอมีหวังลุ่มๆ  ดอนๆ  เป็นแน่  คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือเสาะหาโรงพยาบาลโรคประสาทดีๆ  สักแห่ง  ไม่ใช่สำหรับส่งเธอเข้าไปหรอกนะ  แต่เป็นพวกเขานั่นล่ะแหละที่จะเครียดกับความไร้เหตุผลของเธอ
          8. ขี้บ่น
แม้โดยธรรมชาติของผู้หญิงแล้วมักจะขี้บ่นชอบพูดจาเจื้อยแจ้ว  แต่ลองสาวไหนพูดได้ทั้งวันแต่ได้พูดจาฉอเลาะให้พวกเขาชื่นใจ  กลับเป็นการหาเรื่องบ่นได้ทุกเรื่อง  ไหนจะด่าพวกเขาอีกถ้าพวกเขาสร้างความไม่พอใจให้เธอ  คำนะนำการจีบสาวประเภทนี้คือหาซื้อไอพอลดีๆ สักเครื่อง  จะได้เอาไว้อุดหูเวลาที่เอบ่นน่ะ
ขอขอบคุณ : นิตยสาร Spicy

ข่าวสารเทคโนโลยี



มองโลกผ่านแว่น Instagram 




ถ้าคุณเป็นคนที่ตกหลุมรัก Instagram คุณอยากลองมองโลกแบบเดียวกับฟิลเตอร์ของแอพนี้บ้างมั้ย? นี่คือแนวความคิดของการออกแบบแว่นตาตัวนี้

Instaglasses เป็นผลงาน concept design ที่ออกแบบโดย Markus Gerke จากเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน มันเป็นส่วนผสมของเทคโนโลยี augmented reality ,ซอฟท์แวร์และกล้องถ่ายรูป



แว่นตัวนี้นอกจากจะใส่แล้วเท่ไม่เหมือนใคร มันยังมาพร้อมกับกล้องถ่ายรูปในตัว ที่ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล คุณสามารถใช้มันถ่ายรูปแล้วแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ยอดนิยมของ Instagram ได้ เพียงแค่กดปุ่ม “Insta” ตรงกลางหว่างคิ้วกล้องก็จะเริ่มทำงานถ่ายภาพให้โดยอัตโนมัติ
ตัวเลนส์แว่นผลิตมาจาก LCD หรือ OLED ที่สามารถมองทะลุได้ มันจะแสดงภาพที่ถ่ายให้คุณเห็นด้วยเทคโนโลยี AR โดยเลนส์ด้านซ้ายจะเป็นภาพต้นฉบับ ส่วนเลนส์ด้านขวาจะเป็นภาพที่ใส่ฟิลเตอร์แล้ว หากไม่ชอบใจก็ทำการเปลี่ยนฟิลเตอร์แบบต่างๆโดยกดปุ่มที่อยู่ตรงขาแว่นด้านขวา พอใส่ฟิลเตอร์ที่ต้องการแล้วก็อัพโหลดรูปขึ้น Instagram ได้ทันทีค่ะ

by: dailygizmo

สาระน่ารู้

19:12:00 เขียนโดย ปวีณา อินป๊อก 0 ความคิดเห็น

10 อาหารสุดอันตรายไม่จำเป็นต้องกิน


              เดี๋ยวนี้คนไทยนิยมบริโภคฟาสต์ฟู๊ดมากยิ่งขึ้น  เพราะอร่อยและทันอกทันใจ  แต่หารู้ไม่ว่าการทานอาหารแบบนั้นบ่อยๆ  จะทำให้เราตายผ่อนส่งไปทีละนิดๆๆ  และนี่คืออาหารที่ เราแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก้อย่ากินมีนเลย
จากข้อมูลของ “Team Comtent” สำนักงานออกทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสา.)  พบว่ามี “เมนูโปรด” ของใครหลายคนถูกจัดเป็น “อาหารอันตราย”  อย่างน้อยๆ 10 ชนิดได้แก่…


1. แฮมเบอร์เกอร์  จัดเป็นอาหารประเภทที่  “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุง  ทำให้มี “แบททีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง  ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้  “สารเคมีสีแดง”  มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสียทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว
นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ “สารปรุงรส” (MSG=Monosodium  Glutamate ) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้  โดย “MSG” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นด้วย


2. ฮอทด็อก เป็นอีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์  และ  “ฮอทด็อก” ทั้งหมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็มโดย “สารไนไตรท์”  เป็นสารที่ทำให้เกิด “ดรคมะเร็ง” ในกระเพราะอาหาร  มะเร็งในเม็ดเลือดเนื้องอกในสมอง  และมะเร็งในกระเพราะปัสสาวะนอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อกก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ได้สูง  มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่างมันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง”  ที่เรียกว่า “อะคริลิไมค์” (Acrylimides) ออกมาซึ่งรู้จักดีว่าเป็นสารก่อมะเร็งและ “ทำลายประสาท”


3. เฟร้นช์ฟราย – มันฝลั่งทอด เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ออกมา  นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ทอดมันฝลั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝลั่งยังมี “ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก




4. คุกกี้ ที่เด่นชัดมากคือสักส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว  ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูงเช่นนี้  จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเหิกริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น






5. พิซซ่า “พิซซ่า” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม”  5 ชนิดคือ…
-           เนยแท้ (Cheese) เพียง 10 % เท่านั้น  ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย..
-           ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี  ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้วแต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…
-           ซอสมะเขือเทศ  ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง  “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…
-           แป้งสาลี  ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม
-           มีน้ำมันฝ้าย  ประกอบอยู่  โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร  มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้  ในฝ่ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆ  เอาไว้ได้มากที่สุด
ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ  และกระทรวงสาธาธารณสุขต่างไม่ไห้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่  มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น  แต่มันเป็น “นำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า”  ที่อบปิ้งในอุณหภูมิ  อาจมี “สารอะคริลิไมค์” เกิดขึ้นด้วยขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือ เพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ  รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเดิมเข้าไปจากโรงงานอีกด้วย


6. น้ำมันอัดลม  สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม”  คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน  กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้  และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวหนึ่งของน้ำอัดลมจะเปิดตัวซะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก  จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป่องจะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา  ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Dict soda ที่ใช้ “น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวานจะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้นเพราะน้ำตาลสงเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก  ขนาดที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลมยังเป็น “สารก่อมะเร็ง” อีกด้วย



7. ชิ้นไก่ทอด – เนื้อนุ่มไร้กระดูก  เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ใช้แล้ว  การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลังงาน  340 แคลลอรี 50% เป็นไขมัน  มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก  ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงมีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี  “สารอลูมิเนียม”  ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเผาพลาญของร่างกายด้วย




8. ไอศกรีม  มีไขมันสูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำบริโภคต่อวัน  มัคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน  มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น  เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น  เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเนตและไขมันที่แปรเปลี่ยน  (Transfat) ไปจากธรรมชาติ  และยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล  ทำให้สันเลือดแดงอุดตัน  ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมาก
ขึ้น  ซึ่งทำให้เป็นสาเหตุของมะเร็ง




9. โดนัท
  โดนเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงาน 300 แคลอรี่  โดยในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50 % ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน  มีเกลือโซเดียมสูงมาก  ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้  นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำที่มีอุณหภูมิที่สูง  ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น  ทำให้เกิดสารพิษ  และทำให้ร่างกายเผาพลาญช้าลง  เป็นการคุกคามต่อสุขภาพได้  และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น



10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง  ในปัจจุบันมีการบริโภค “โฟเตโต้ซิพ”กันมาก  โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ซิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดร์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายระบบประสาทออกมา  นากจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า  เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปๆได้  การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น  อาจได้รับสารอะคริไมค์เท่ากับอัตตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว


ขอของคุณ  ที่มา : นิตยสาร Spicy

สาระน่ารู้




      กบจำศีลในก้อนหิน ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดอ่านที่ทราบได้มีประสบการณ์โดยตรงกับความลึกลับอีกชนิดหนึ่ง  คือเรื่องประหลาดเกี่ยวกับกบซึ่งดูเหมือนจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานานทั้งๆ  ที่จำศีลอยู่ในก้องหิน  ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ได้มีข่าวปรากฏอยู่เสมอว่าพวกกรรมกรขุดถ่านหินหรือคนงานที่ทำงานอยู่ในบ่อถ่านหิน  ขณะที่ทำการระเบิดหินหรือขุดถ่านหินขึ้นมาจากบ่อบางครั้งก็จะมีกบหรือคางคกกระโดออกมา  ตัวอย่างที่เห็นจริงจังรายหนึ่งเดี่ยวกับ  “กบที่จำศีลในโพรงหิน”  คือเมื่อนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษชื่อ ดร.แจ๊ค  เทรียกัส (DR.JACK  TREAGUS) แห่งมหาลัยแมนเซสเตอร์เป็นผู้ค้นพบและที่  ไวท์วัทสัน  (WHITE WATSON)  นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษผู้มีชื่อของมณฑลดาร์บี้เชียร์ (DERBYSHIRE)  บันทึกไว้รายงานประจำปี  1811 เข้าได้เขียนไว้ว่า “ในเมืองโบลสโสเวอร์ฟิลด์ (BOLSOVER FIELD) เมื่อปี  1795  ขณะที่พวกคนงานกำลังทุบหินปูนซึ่งมีน้ำหนักประมาณหนึ่งตันครึ่ง  ก็ได้พบคางคกตัวหนึ่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ฝังตัวอยู่ในก้อนหินปูนก้อนนั้น  แต่เมื่อมันถูกเอาออกมาจากโพรงหินแล้ว  มันก็ได้เสียชีวิตทันที”  รายงานอีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกังคางคก  ซึ่งถูกตั้งชื่อว่าโอลด์ริพ (OLD  RIP) ซึ่งดูเหมือนจะยังมีช๊วิตอยู่หลังจากที่ได้ฝังตัวอยู่ในหินที่เป็น  “ศิลาฤกษ์”  ของที่ทำการศาลแห่งหนึ่งในเมืองเชนแน็คทาดี้  (SCHENECTADY)  มาเป็นเวลากว่า  30 ปี
                ด้วยความฉงนฉงายเมื่อได้อ่านรายงานทำนองนี้  นักธรรมชาติวิทยาผู้มีชื่อเยงชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ  ดร.  วิลเลี่ยม  บัคแลนด์ (DR WILLIAM  BUCKLAHD)  ได้นำเดินการทดลองเพื่อหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วยกรรมวิธีที่ค่อนข้างจะวิตถาร  ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 1875  ดร. บัคแลนด์ได้ทำการฝังตัวคางคกจำนวน 24 ตัว  ไว้ในช่องเล็กๆซึ่งผนึกอย่างเรียบร้อยโดยบางตัวไปตามช่องหินปูนที่ปิดทึบและบางตัวก็ผนึกไว้ในช่องหินปูนเหล่านั้น  เป็นเวลากว่าปีคือเมื่อวันที่  10  ธันวาคม  1976  คางคกทั้งหมดที่ถูกผนึกอยู่ในช่องหินปูนที่แน่นทึบนั้นตายหมด  และใด้ตายไปแล้วเป็นเวลาตั้งหลายเดือน  แต่คางคกบางตัวที่ถูกผนึกอยู่ในช่องหินปูนที่มีรุเล็กๆพรุนอยู่นั้นยังมีชีวิตอยู่  ถึงแม้ตอนหลังจะตายเพราะทดอาหาร  เมื่อมันต้องถูกนำไปผนึกอยู่ในช่องหินปูนต่อไปอีกหนึ่งปีในนามวิทยาศาสตร์  คางคกบางตัวซึ่งถุกนำไปฝังไว้ในโพรงของต้นแอบเปิ้ล  และอุดปากโพรงหินโดยไม่มีอากาศเลยเป็นเวลาถึงหนึ่งปีได้และก็เป็นที่แน่นอนว่ามันไม่อาจจะทนอยู่ถึง 2ปี  โดยไม่ได้กินอาหารได้  ดร.บัคแลนด์เขียนไว้ว่า
                “…..ข้าพเจ้าคิดว่า  เราอาจจะได้พบคำตอบของปรากฏการณ์ทำนองนี้ได้จากการศึกษาสังเกตนิสัยของสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้  และรวมทั้งพวกแมลงต่างๆ  ที่เป็นอาหารของมันด้วยความพยายามขั้นแรกของลูกคางคก  ทันทีมันพ้นจากสถาวะของลูกอ๊อด  และโผ่ลขึ้นมาจากน้ำแต่ละตัวเมื่อยังมีขนาดเล้กอยู่อาจจะเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรงหิน  โดยแทรกตัวเข้าไปตามรูหรือรอยแตกเล็กๆ  และเมื่อเข้าไปในโพรงหิน  โดยแทรกตัวเข้าไปตามรุหรือรอยแตกเล็กๆ  และเมื่อเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรงหิน  โดยแทรกตัวเข้าไปตามรูหรือรอยแตกเล็กๆ  และเมื่อเข้าไปในโพรงหินนั้นแล้วมันก็อาจจะได้พบสิ่งที่มันสามารถกินเป็นอาหารได้เป็นจำนวนมาก  เพราะแมลงเล็กๆ เหล่านี้ก็ได้เข้าไปหลบอยู่ในโพรงหินนั้นด้วยวัตถุประสงค์แบบเดียวกับลูกคางคกเหมือนกัน  เมื่อมีอาหารสมบูรณ์เช่นั้นในไม่ช้า  คางคกเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นจนไมสามารถจะออกทาจากรอยแยก  หรือรูเล็กๆที่มันเข้าไปเมื่อตอนแรกได้อีก  พวกคนงานที่ไปพบคางคกถูกฝังอยู่ในหินอาจจะไม่ได้สังเกตว่าหินนั้นมีรู  หรือรอยแตกอยู่ก็ได้  เพราะพวกเขาก็เป็นพวกเดียวที่ทำงานประเภทนี้  และเป็นผู้ที่พบคางคกฝังอยู่ในโพรงหิน  หรือโพรงไม้นั้น”
                คำชี้แจงเช่นนี้น่าจะเป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างยิ่งเกี่ยวกับคางคก  ที่ถูกแปรสภาพเป้นเหมือนซากอาบยาที่มีตัวอย่างเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองไบรทตัน (BRIGHTON  MUSEUM) ซึ่งเป็นหัวเมืองตากอากาศชายทะเลของประเทศอังกฤษ  พร้อมไปด้วยโพรงหินที่มันได้เข้าไปจำศีลอยู่เหตุที่มันถูกค้นพบก็เมื่อคนงานสองคนได้พบก้อนหินขนาดเบา  ที่มีลักษณะประหลาดก้อนหึ่งที่เมืองลิวเวส (LEWES) และได้ก่อให้เกิดความตื่นเต้นไม่ใช่น้อยในตอนนั้น  มันอาจจะเป็นตัวอย่างเพียงเดียวที่รู้จักเกี่ยวกับ “คางคกที่เข้าไปจำศีลอยู่ในก้อนหิน”  ที่อยุ่ในความครอบครองของมนุษย์ละก็เป็นการพิสูจน์ว่า  ข่าวลือเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีมูล  อันที่จริงหลังจากที่มีพอเจ้าคางคกที่กลายเป็น  “มัมมี่”  ตัวนี้เข้า  นักวิทยาศาสตร์ที่ไปทำการตราวจสอบเรื่องนี้ก็ได้พบรูเล็กๆ รูหนึ่งอยู่ตรงปลายด้านหนึ่งของหินก้อนนั้น  ซึ่งต่อมารูเล็กๆนี้ก้มีโคลนของหินช็อล์คเข้าไปอุดจนตันไปหมด